fbpx
Homeเที่ยวเอเชียญี่ปุ่นย่านอาซากุสะ ทำบุญ ขอพร วัดอาซากุสะ(เซนโซจิ) เดินช้อปถนนนากามิเสะ/Nakamise และชมสะพานแดง

ย่านอาซากุสะ ทำบุญ ขอพร วัดอาซากุสะ(เซนโซจิ) เดินช้อปถนนนากามิเสะ/Nakamise และชมสะพานแดง

Klook.com
- Advertisement -
- Advertisement -

ทริปญี่ปุ่นนี้เราและเพื่อน ๆ วางแผนกันแรมปี เพื่อหาตั๋วเครื่องบินราคาถูก และวางแผนเที่ยวให้เหมาะกับพวกเราที่สุด และที่สำคัญด้วยความทันสมัยและความยุ่งยากของรถไฟในญี่ปุ่น ก็ทำให้เรากลัว ๆ เหมือนกันว่าจะไปรอดไหม

เริ่มทริปวันแรก เดินทางจากกัวลาลัมเปอร์ เปลี่ยนเครื่องที่ไทย และมาถึงสนามบิน นาริตะ โดยสายการบินไทย ในเวลา 8.00 น. หลังจากที่ต่อคิวผ่าน ตม. ที่แสนจะยาวนานกว่า 30 นาทีแล้ว ไปรับกระเป๋า เป็นที่เรียบร้อย ก่อนออกจากสนามบิน เราก็ต้องไปที่เคาน์เตอร์ Easy Go เนื่องจากว่าเราจะต้องไปรับตั๋วและซิมจากทาง Klook ซึ่งสิ่งที่ควรเตรียมคือ เตรียม QR Code ของกิจกรรมที่ได้ซื้อเอาไว้ให้พร้อม พนักงานจะได้สามารถแสกนและปริ้นท์เอกสารต่าง ๆ ให้ได้อย่างรวดเร็ว

การเดินทางเข้าเมืองโตเกียวจากสนามบินนาริตะ เทอมินัล 1 นั้น เราเลือกเดินทางด้วย Sky Liner ที่ได้จากมาจากเว็บไซต์ Klook ซึ่งเราจะต้องเอาเอกสารที่ได้ปรินท์มา ไปรับตั๋วที่เคาน์เตอร์อีกทีหนึ่ง พอได้รับตั๋วตัวจริงเรียบร้อย ก็ไปลุยกันเลย!!!

keisei sky liner
keisei sky liner

ข้อดีของ Sky Liner คือเดินทางสะดวก จากสนามบินนาริตะ ยาวไปที่สถานี Nippori หรือ Ueno  โดยใช้เวลาเพียง 41 นาที ในราคา JPY2470  รวดเร็ว และสะดวกมาก ๆ มีที่วางกระเป๋า คนไม่เยอะ

*** เราและเพื่อน ๆ อยากจะเปลี่ยนไปรถไฟ metro แต่ลงสถานีผิดคือไปลง Nippori คือ งง มาก ว่าทำไมต้องเดินต่ออีกไกล สรุปคือลงสถานีผิด ก็เลยต้องไปขึ้นรถไฟเพื่อไปสถานี Ueno อีกรอบ ดังนั้น อย่าลงผิดสถานี แล้วจะเสียเวลาแบบพวกเรานะจ๊ะ

แต่เดี๋ยวก่อนถ้าคุณคลิกตอนนี้ ตั๋วรถไฟ Keisei Skyliner จาก Klook จะราคาเพียง JPY2100 เท่านั้น!

นอกจากนี้การเดินทางในทริปโตเกียวนี้ เราซื้อเป็นตั๋วรถไฟใต้ดิน ถูกมาก ประหยัด และคุ้มสุด ๆ สำหรับคนที่เดินทางไปหลาย ๆ เราซื้อแบบ 72 ชั่วโมง ถ้าหากใครสนใจ กดคลิกที่นี่เลย

หลังจากที่ลงสถานี Ueno เรียบร้อย เราก็เปลี่ยนไปขึ้นรถ metro สาย Oedo เพื่อไปยังสถานี Kurame ซึ่งเป็นที่ตั้งของโฮสเทลที่เราจะอยู่ที่นี่ถึง 6 คืน ที่ชื่อว่า Hostel Wahaku Kura

หลังจากเก็บของเรียบร้อยที่โฮสเทล ทริปเที่ยวโตเกียววันแรกก็เริ่มขึ้น เราเลือกที่จะใช้การเดินเท้าในวันแรก เพื่อเที่ยวรอบ ๆ ย่านอาซากุสะ

อาซากุสะ
อาซากุสะ

แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราก็ต้องไปหาของกินกันก่อน ตอนแรกวางแผนว่าจะไปกินราเมนข้อสอบ ร้านยอดนิยมของคนไทยในย่านอาซากุสะ แต่พอเห็นคิวแล้วก็พักก่อน ไปกินร้านข้าวหน้าทะเลร้านข้าง ๆ กันก็ได้

ข้าวหน้าทะเลของร้านนี้น่ากินมาก แต่ปริมาณที่ให้ก็ถือว่าน้อย และราคาก็สมเหตุสมผล อาหารทะเลสด อร่อย โอเค บรรยากาศนั่งสบาย ๆ ถ้าหากใครอยากกินข้าวหน้าทะเล ก็มาลองร้านนี้ดูก็ได้

หลังจากที่กินข้าวเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินเล่นในย่านอาซะกุสะกัน เราแวะกันที่ร้าน Ginza Life กันก่อน ซึ่งเป็นร้านขายกระเป๋า ก่อนถึงถนน นากามิเสะ/Nakamise ร้านนี้ขายกระเป๋าหลายแบรนด์แต่หลัก ๆ ก็จะเป็น Anello ซึ่งราคาถูกมาก ถูกกว่าทั้งที่ไทยและมาเลเซีย และยังมีการลดอีก 10% ด้วย จากที่สำรวจมา น่าจะถูกที่สุดที่เราไปหามาแล้วหละ

ถนน นากามิเสะ/Nakamise

เพื่อนเรานางก็ได้กระเป๋าสะพายข้างมาหนึ่งใบ เราก็เล็ง ๆ ไว้อยู่ แต่เดี๋ยวขอเดินสำรวจก่อนก็แล้วกัน

ช้อปปิ้งเรียบร้อย ก็เดินมาถึงสถานที่ยอดนิยม นั่นก็คือถนน นากามิเสะ/Nakamise ซึ่งเป็นถนนที่มีร้านอาหาร ร้านขนมชื่อดัง และร้านขายของที่ระลึกมากมายกว่า 100 ร้าน ตลอดทางยาว 250 เมตร ซึ่งจะเป็นถนนยาว ๆ ก่อนถึงตัววัด เซนโซจิ/Sensoji

และนี่เป็นประตู คามินาริมง (Kaminarimon Gate) ซึ่งเป็นประตูทางเข้าหลักสู่ตัววัดเซนโซจิ

ถนนนากามิเสะ
ืnakamise ถนนนากามิเสะ
ืnakamise ถนนนากามิเสะ
ืnakamise ถนนนากามิเสะ

จุดที่เราชอบมาก ๆ คือใต้โคมแดง มันจะมีไม้แกะสลักป็นรูปมังกรอยู่ หลาย ๆ คนเดินผ่าน ก็ไม่ได้สนใจ แต่มันเป็นการแกะที่ละเอียดและสวยงามมากชิ้นนึง

โคมแดง ญี่ปุ่น

เมื่อผ่านประตูเข้ามา ทางขวามือจะเป็นที่สำหรับชำระล้างร่างกายก่อนเข้าอุโบสถ ซึ่งตรงบ่อน้ำจะมีเทพเจ้ามังกรตั้งอยู่ และมีน้ำพุไหลออกมาจากเทพเจ้ามังกร

วิธีการล้างร่างกาย

  1. ใช้มือขวาถือกระบวย ตักน้ำจากอ่าง แล้วเอามาล้างมือซ้าย
  2. เปลี่ยนกระบวยแล้วถือด้วยมือซ้าย ล้างมือขวา
  3. เปลี่ยนกระบวยแล้วถือด้วยมือขวา เทน้ำใส่มือซ้าย แล้วบ้วนปาก

ข้อควรระวัง อย่าให้น้ำกระเด็น ปล่อยให้น้ำตกลงสู่แอ่งข้างล่าง อย่าใช้มือเปล่ากวักน้ำในบ่อเป็นอันขาด และอย่าดื่มน้ำจากกระบวยโดยตรง และอย่าลืมวางกระบวยให้เป็นระเบียบด้วย

รับพรรักษาร่างกาย

กลางลานวัดจะมีกระถางธูปตั้งอยู่  (โจวโคโระ) เพื่อน ๆ สามารถซื้อธูปได้จากซุ้มใกล้ ๆ กับอ่างล่างมือ โดยราคาอยู่ที่ 200 เยนต่อหนึ่งกำ

หลังจากนั้นก็นำธูปไปจุดและปักลงในกระถาง คนญี่ปุ่นเชื่อว่าควันธูปจะช่วยรักษาร่างกายให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น จึงจะเห็นมีคนยืนกวัวควันธูปเข้าใส่ตัว

การขอพรที่วัดเซนโซจิ (อาซากุสะ)

โยนเหรียญ 5 เยน

เดินเข้าสู่อุโบสถหลัก ให้เตรียมเหรียญ 5 เยนเอาไว้ คนจะต่อแถวเพื่อเดินขึ้นไปเพื่อโยนเหรียญ คนญี่ปุ่นจะนิยมโยนเหรียญ 5 เยนที่มีสีทองและมีรูตรงกลาง  5 เยนในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า Go-en dama ซึ่งคำว่า “โกะเอ็น” มีเสียงพ้องกับคำว่าโชคชะตา ซึ่งคนนิยมเพื่อนำมาทำบุญและขอพรเพื่อให้สมความปรารถนาตามที่ขอไว้

        

โยนเหรียญวัดอาซากุสะ

จุดเทียน

หลังจากที่โยนเหรียญ 5 เยนขอพรเรียบร้อยแล้ว อย่าพลาดที่จะมาขอพรต่อดวงชะตาโดยการจุดเทียนให้ชีวิตรุ่งเรืองดั่งแสงเทียน ใส่เงินทำบุญ 100 เยน แล้วก็จุดเทียนและเสียบไว้ในตะเกียงครอบได้เลย


การเสี่ยงเซียมซีที่วัดอาซากุสะ

กิจกรรมสุดฮิตของคนที่มาวัดอาซากุสะนั่นก็คือการเสี่ยงเซียมซี ดูดวงชะตา ซึ่งหลาย ๆ คนพูดกันว่าวัดนี้แม่นเหมือนตาเห็น (ความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ) เราก็ได้มีโอกาสได้เสี่ยงเซียมซีเหมือนกัน ซึ่งกระบอกเซียมซีจะเป็นไม้ขนาดใหญ่ แล้วให้เขย่าไม้ออกมาหนึ่งแท่ง เราเขย่านานมาก ๆๆๆ ก็จะได้ และคำทำนายที่ได้ก็ไม่โอเค ก็เลยเอาไปผูกไว้เพื่อส่งต่อดวงชะตา ซึ่งทางวัดก็จะนำไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ต่อไ

วันที่เรามาคนเยอะมาก ๆ คนส่วนใหญ่ที่เข้ามา ก็มาทำบุญ ถ่ายรูป นั่งชิล ๆ กันก็เยอะ เพราะวัดมีบริเวณเยอะและมีที่นั่งพอสมควรให้นั่งพัก เราเดินเล่นกันอยู่รอบ ๆ ตัววัดสักพัก ก็เริ่มหิว ก็เลยไปหาขนมโมจิทอดร้านที่เค้าแนะนำว่าอร่อย ที่ถนน Nakamise ซึ่งเป็นร้านแรก ๆ ถ้าหากเดินออกมาจากวัด

ถามว่าอร่อยไม๊ เราว่ามันปานกลาง ไม่ได้ดี ไม่ได้ว้าวมากเหมือนที่เค้าแนะนำกัน แป้งหนา ไม่กรอบ แต่รสชาติของไส้ข้างในที่เราสั่งเป็นซากุระ มันก็โอเค ถ้าไม่กิน ก็ไม่ได้พลาดอะไรไป 55

 

สะพาน อาซุมะบาชิ (Azumabashi Bridge)

แดดเริ่มลดลง เราก็ไปเดินเล่นกันแถวสะพานแดง หรือสะพาน อาซุมะบาชิ (Azumabashi Bridge) คือสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำซูมิดะเชื่อมระหว่างโตเกียวสกายทรีกับบริเวณย่านวัดเซนโซจิ

บริเวณสะพานแดงนี้จะเห็นวิว โตเกียวสกายทรี/Tokyo Skytree และ อาซาฮีเบียร์ฮอลล์/Asahi Beer Hall ที่มีสีทองอร่าม สะท้อนกับแสงพระอาทิตย์ตอนเย็น เราก็เดินเล่นชิล ๆ ถ่ายรูปกันอยู่ริมแม่น้ำสักพัก คนญี่ปุ่นมักจะมาออกกำลังกาย วิ่งเล่น ทำกิจกรรมบริเวณนี้ มันเป็นสวนสาธารณะที่ชิลน่าดู

กินราเมนข้อสอบ (Ichiran Ramen) ย่านอาซากุสะ

เดินเล่นจนตอนนี้ก็หิว เมื่อตอนเที่ยงยังไม่ได้กินราเมนข้อสอบเลย ตอนนี้ก็ต้องจัดไปกับ Ichiran ที่อาซากุสะ พอกลับมาตอนเย็น ไม่มีคิวเลย โดยร้านนี้จะต้องสั่งกับแมชชีนก่อน โดยคุณจะต้องใส่เงินเข้าไปในแมชชีน เลือกราเมน และเลือกของที่จะใส่เพิ่มไม่ว่าจะเป็นไข่ เส้น ผัก หรือเนื้อ ก็เพิ่มได้เลย แล้วเมื่อได้โต๊ะ พนักงานก็จะนำกระดาษมาให้ทำข้อสอบ เอ้ย ไม่ใช่ พนักงานก็จะเอากระดาษมาให้เราเลือกว่าจะเอาซุปแบบไหน อ่อน หรือเข้ม เส้นแบบอ่อนหรือแข็ง เผ็ดหรือไม่เผ็ด ประมาณนี้ เราก็เลือก ๆ ตามที่ชอบ เป็นอันเสร็จสิ้น และรอทานได้เลย

ราเมนมาเสิร์ฟแล้วว คือส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบกินราเมน แต่ร้านนี้มันได้วะ น้ำซุปเข้มข้น เส้นที่เลือกแบบแข็งกลาง ๆ ก็ดีมาก แค่นี้ก็แฮปปี้แล้วอ่ะ! และที่สำคัญราคาประมาณพันกว่าเย็นเท่านั้น

กินเสร็จก็ได้เวลาช้อปกันต่อ..ไม่รอแล้วน้า ช้อปกันตั้งแต่วันแรกเลยจ้า ที่ช้อปยอดนิยมก็คงจะหนีไม่พ้น Donkihote/ดองกี้โฮเต้ ในย่านอาซากุสะ ของใช้และขนมที่ญี่ปุ่นมันละลานตามมาก น่ารัก และน่าใช้มาก

ดองกี้โฮเต้ อาซากุสะ

เราเองหมดตัวไปกับขนม ครีมกันแดด Anessa และที่สำคัญที่สุดคือพวกทิชชู่เปียกแบบเย็น คือเราเป็นคนขี้ร้อน และเวลาไปข้างนอกชอบเช็ดตัวให้สะอาด ก็เลยโดนไปหลายห่อ ทิชชู่เปียกที่นี่มีหลายขนาด หลายกลิ่น ทั้งพีช มะนาว สตอเบอร์รี่ โอ้ยยย เยอะแยะไปหมด ละลายทรัพย์ไปเลยตั้งแต่วันแรกจุก ๆ

ช้อปปิ้งเสร็จเรียบร้อยสบายใจ ก็ถึงเวลากลับโฮสเทล เช็กอินแล้วเข้านอน

มารีวิวโฮสเทลกันก่อน

โฮสเทลนี้มีชื่อว่า Wahaku Kura ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟสาย Oedo คือใกล้มาก มีทางออกติดกับโฮสเทลเลย และถ้าหากเดินประมาณ 500 เมตรก็จะมีสถานี Asakusa ด้วย ถือว่าสะดวกสุด ๆ

โดยโฮสเทลจะเป็นสไตล์หอพัก อยู่เป็นกล่อง ๆ นอนสบาย ห้องน้ำสะอาด มีผ้าขนหนู ไดร์เป่าผม ถ้าใครมาเป็นกลุ่ม 4 คนก็เช่าเป็นห้องเดียวไปเลย สะดวก ได้ความเป็นส่วนตัวด้วย แนะนำเลยโฮสเทลนี้

พรุ่งนี้เราออกเดินทางจากชินจูกุไปคาวากุจิโกะด้วยรถบัส อ่านทริปสนุก ๆ กันต่อได้ที่นี่เลย

Booking.com
คุณ
คุณ
เจ้าของเพจเที่ยวตามใจคุณนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน หวังว่าบทความท่องเที่ยวที่เขียนขึ้นมาจะเป็นประโยชน์นะครับ แล้วมาคุยกันนะครับ

บทความน่าสนใจ