fbpx
Homeเที่ยวเอเชียพม่าวิธีขอพร ไหว้เทพทันใจ ให้ชีวิตรุ่ง! เจริญ ๆ | หลวงพ่อทันใจ โบตาทาวน์ | ย่างกุ้ง พม่า

วิธีขอพร ไหว้เทพทันใจ ให้ชีวิตรุ่ง! เจริญ ๆ | หลวงพ่อทันใจ โบตาทาวน์ | ย่างกุ้ง พม่า

Klook.com
- Advertisement -
- Advertisement -

สวัสดีผู้ติดตามทุกคนนะครับ ผมขอเล่าประสบการณ์สนุก ๆ ที่ผมประทับใจสุด ๆ กับการไปเที่ยวด้วยตัวเอง และไปคนเดียว ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่าครับ โดยรีวิวนี้จะพูดถึง
1. เลือกโรงแรมในพม่า Best Western
2. โบตาทาวน์
3. วิธีการขอพรจากเทพทันใจ
4. เที่ยวชเวดากอง

อ่านบทความแนะนำ 6 สิ่งศักดิ์สิทธ์ที่ควรกราบไหว้ เจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่าที่นี่คลิก

ไหว้ขอพรจากเทพทันใจที่โบตาทาวน์

Botatuang หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดเทพทันใจ (โบตาทาวน์) การเดินทางเกือบทั้งหมดในทริปนี้ผมใช้บริการ Grab Taxi ครับ เนื่องจากว่าไม่ต้องต่อราคาให้ยุ่งยาก ราคามาตรฐาน บางครั้งถูกกว่าไปเรียกแท็กซี่เองด้วยซ้ำ เมื่อถึงวัดเทพทันใจแล้ว ก็ต้องซื้อตั๋วเข้าชมครับ ราคาค่าเข้าชมอยู่ที่ 6,000 จ๊าด และการเดินเข้าบริเวณวัดทุกวัดจะต้องถอดรองเท้าและถุงเท้า ฝากเอาไว้ ตรงนี้ขอแนะนำให้นำถุงผ้าติดกระเป๋าเอาไว้ จะได้เอารองเท้าใส่ถุงเดินหิ้วสบาย (สำหรับโบตาทาวน์เค้ามีที่วางรองไว้ให้วางได้ฟรี)ภาพข้างล่างนี้คือบรรยากาศภายในเจดีย์โบตาทาวน์ครับ เป็นทองเหลืองอร่าม และจุดไฮไลท์คือจุดชมพระเกศาธาตุ โดยมีความเชื่อว่าให้เราขอพรที่จุดจุดนี้ แล้วพับเงินเป็นสี่เหลี่ยมแล้วโยนเข้าไป ถ้าหากสามารถโยนไปตรงกลางได้ พรนั้นจะสำเร็จเป็นจริง
ผมได้ซื้อดอกไม้มาไหว้ด้วยในราคา 1,000 จ๊าด จากข้างหน้าวัดครับ
ภายในเจดีย์ติดแอร์เย็นชุ่มฉ่ำครับ บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ เดินไปเรื่อยๆก็จะพบกับชาวพม่านั่งสวดมนต์ตามมุมต่างๆ
บ้างก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ผมก็เลยได้นางแบบชาวพม่ามาด้วย

หนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมหลงรักย่างกุ้งคือชาวพม่า พวกเขายังอนุรักษ์วัฒนธรรมของเค้าไว้อย่างดี โดยการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าดั้งเดิม ทั้งผู้หญิงและผู้ชายใส่โสร่ง น่ารักมากๆครับ

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่คนไทยและคนพม่าเดินทางมาที่โบตาทาวน์แห่งนี้จะพลาดไม่ได้ก็คือ เทพทันใจหรือนัตโบโบยีครับ ซึ่งตั้งอยู่ในเกาะกลางน้ำ โบโบยีท่านนี้ได้รับความศรัทธาจากคนใหญ่คนโตในประเทศพม่าและประเทศไทย และในปัจจุบันคนไทยเดินทางมาขอพรจากท่านมากขึ้น จนน้องๆที่ขายเครื่องบูชาสามารถพูดภาษาไทยกันได้แล้ว

วิธีการขอพรจากเทพทันใจ

  1. ถ้าหากต้องการขอพรจากหลวงพ่อทันใจหรือนัตโบโบยี ให้นำเครื่องบูชาไปถวาย พร้อมคล้องผ้าสี
  2. และนำเงินธนบัตรสองใบขึ้นไปพับเป็นกรวยซ้อนกัน ใส่ไว้ที่มือของท่าน นำหน้าผากไปแตะที่นิ้วชี้ ตั้งใจอธิษฐาน ขอพรเพียงหนึ่งข้อเท่านั้น ระบุให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร
  3. เมื่อขอพรเสร็จให้เดินอ้อมไปทางด้านหลังเพื่อรูดไม้เท้าของท่าน รูดลงสามครั้งก็ถือเสร็จสิ้นพิธี (เคล็ดลับคือให้จำหน้าท่านไว้ให้แม่น แล้วพรของท่านจะเป็นจริง)
  4. หยิบธนบัตรที่ใส่ไว้ในมือของท่านกลับมาด้วย 1 ใบ แล้วก็เก็บใส่กระเป๋า บูชาเป็นเงินขวัญถุง ให้โชคให้ลาภต่อไป

พิธีกรรมนี้เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลนะครับ ถ้าหากใครไม่สบายใจก็ไม่จำเป็นต้องทำตาม หรือเพียงอ่านไว้เพื่อเป็นเกร็ดความรู้ก็ได้ครับ

เวลาเปิดปิด วัดหลวงพ่อทันใจ

ทุกวันตั้งแต่เวลา 05.00 น. – 21.00 น.

คาถาบูชา เทพทันใจ พม่า

(ตั้งนะโม 3 จบแล้วต่อด้วยบทสวดคาถาบูชาเทพทันใจ) เอหิ สักกะ มหานัทโป๊ะโป๊ะจีโปตะถ่องสิทธิมัตถุ อิทังพะลัง เอตัสสะมิงรัตตะนัง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เทวานัง ประสิทธิลาโภ ชยโยนิจจัง วันทามิสัพพะทา สวาโหม

เมื่อออกมาจากวัดหลวงพ่อทันใจแล้ว ตึกฝั่งตรงข้ามกันสีเขียวๆคือที่ตั้งของเมะนาหน่วย หรือเทพย์กระซิบที่เรารู้จักกัน เมื่อก่อนถ้าหากขอพร เค้าจะให้เข้าไปกระซิบที่ข้างหู แต่ในตอนนี้ให้แค่ขอพรอยู่ห่างๆ โดยท่านชอบข้าวตอกและนม แต่ผมไม่ได้ขอพรจากท่านครับ

จากเจดีย์โบตาทาวน์ ผมก็เดินทางไปยังเจดีย์สุเลพญา (Sule Paya) เป็นเจดีย์ที่มีความสูงประมาณ 46 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางกรุงย่างกุ้ง และสร้างขึ้นมากว่า2,000 ปีที่แล้ว สุเหล่เป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมตั้งแต่องค์ระฆังขึ้นไปจนถึงชั้นบาตรคว่ำ

สุเหล่ตั้งเป็นวงเวียนอยู่ใจกลางเมือง ตรงจุดนี้คล้ายๆกับอนุเสาวรีย์ชัยบ้านเราเลยครับ เป็นจุดจอดของรถเมล์สายต่างๆ และด้านหลังมีสวนให้ชาวพม่ามาพักผ่อนหย่อนใจกันด้วย

ส่วนภาพข้างล่างนี้คือ ซิตี้ฮอลนั่นเอง ถ่ายทอดการแข่งขันฟุตบอลให้คนรอรถบัสได้ชมกันด้วย


ค่าเข้าเจดีย์สุเหล่ตกอยู่ 3,000 จ๊าด พร้อมค่าฝากรองเท้า 1,000 จ๊าด เนื่องจากว่าไม่ได้เตรียมถุงมาใส่นั่นเอง บนเจดีย์สุเหล่ก็เหมือนเจดีย์ทั่วๆไป มีพระต่างๆรอบเจดีย์

ข้อควรระวังที่เจดีย์สุเหล่

ด้วยการเดินเล่นไปรอบเจดีย์นี่แหละครับ ผมจึงได้เจอกับพระพม่า พระท่านก็เข้ามาชวนพูดคุยว่ามาจากที่ไหน ท่านเคยไปมหาจุฬาลงกรณ์เพื่อเรียนธรรมะนะ หลังจากนั้นลูกศิษย์ของท่านก็มาจากไหนไม่รู้ เข้าชาร์จผม คุยเป็นภาษาไทยคล่องปรื๋อ ลูกศิษย์ก็ถามว่า “นี่ๆ ไหว้ขอพรจากเทพทันใจองค์นี้หรือยัง ค่าของบูชา 10,000 จ๊าดนะ ซื้อๆเลย” แต่ด้วยความที่เอาเงินมาจำกัดละขอพรจากองค์ที่โบตาทาวน์ไปแล้ว ก็เลยปฏิเสธเค้าไป แต่ลูกศิษย์ยังไม่ลดละ บอกว่ามาตรงนี้สิ ตรงนี้นะมีพระศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นผมเริ่มเบลอๆละ เค้าก็บอกทำบุญสิ เอาเงินมาแนบใส่สมุดนะ ผมหยิบเงินแบงค์พันจ๊าด แต่เค้าบอกว่า ไม่ได้ต้องใส่ หมื่นจ๊าด (เห้ย มีแบบนี้ด้วยหรอ) แต่สุดท้ายด้วยความที่ งงๆ มึนๆ โดนชักจูงมากๆ แล้วอยากออกจากจุดนั้น ผมก็เลยทำบุญไป 5,000 จ๊าด ถือว่าร่วมทำบุญกับท่านไปแล้วกันผมมาอ่านรีวิวตามทีหลังได้ความว่าเทพทันใจองค์นี้หรือนัตที่สุเหล่เป็นหนึ่งในสี่นัตที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเจดีย์ชเวดากองด้วย

ออกจากจุดนั้นมาได้ ผมก็ออกมาตั้งสติ แถมฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ก็เลยต้องวิ่งหาที่หลบฝน สุดท้ายไปหลบฝนอยู่ในไปรษณีย์ Myanmar Post ซึ่งดูมีความโบราณมากๆ ยังมีป้ายส่ง Telegram ติดอยู่เลย ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี สนุกจริงๆ

เมื่อฝนหยุดตกแล้ว ฟ้าเริ่มสว่าง อากาศเย็นลง ตอนนั้นเวลาประมาณ 17.00 น. ได้แล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปต่อที่ชเวดากอง ชเวดากองมีทางเข้า 4 ทิศ ซึ่งแท็กซี่มาส่งผมที่ทางเข้า South Gate ซึ่งมันไม่มีลิฟต์ โอ้ยย ต้องเดินขึ้นบันไดสูงเท่ากับตึก 4 ชั้น ถ้าหากคุณมีโอกาสมาที่นี่ บอกให้แท็กซี่มาส่งที่ลิฟต์เถอะ จะได้สะดวก

เที่ยวชมเจดีย์ชเวดากอง

เมื่อถึงชเวดากองด้านบนแล้ว ผมต้องบอกเลยว่า บรรยากาศมันสงบ ร่มเย็น มีความขลัง รู้สึกได้ถึงศรัทธาอันแรงกล้าของชาวพม่าที่มีต่อชเวดากองแห่งนี้ มองไปทางไนก็จะเจอแต่คนกำลังสวดมนต์ขอพระจากพระหรือเทพย์ตามมุมต่างๆ

ภาพข้างล่างนี้คือบรรยากาศในช่วงตอนเย็นบนชเวดากอง ผมแนะนำให้มาในช่วงเย็นและอยู่จนพระอาทิตย์ตกดิน คุณจะได้รับบรรกาศทั้งสองแบบ ที่มีความสวยงามแตกต่างกันออกไป เมื่ออาทิตย์ตกดิน แสงไฟที่ฉายลงบนชเวดากองทำให้ทองบนเจดีย์สว่างสไว มีออร่าจนไม่สามารถละสายตาได้เลยครับ
วันนี้ผมมาเจดีย์ชเวดากอง ได้แค่ถ่ายรูปสวยๆ แต่ยังไม่ได้ไหว้พระขอพรอย่างจริงใจ พอกลับมาโรงแรมก็เลยรู้สึกไม่สบายใจซะเลย เลยคิดว่าพรุ่งนี้ต้องกลับไปใหม่
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว นกเริ่มบินกลับรัง เสียงนกร้องดังเจียวจาว
ตรงจุดนี้คือลานอธิษฐาน ซึ่งอยู่ทาง North gate จะเห็นได้ว่ามีคนเข้ามานั่งสวดมนต์อธิฐานกันมากมาย เนื่องจากว่าเขามีความเชื่อว่าพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองเสด็จฯมาตั้งจิตอธิษฐานที่ลานนี้ก่อนออกไปทำศึกทุกครั้ง โดยตรงกลางจะมีจุดที่เป็นรูปดาว ตรงจุดนั้นนั่งเองที่จะส่งผลให้แรงอธิษฐานและพรที่ขอมานั้นเป็นจริง ตามความเชื่อของคนพม่า
ฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศเริ่มเปลี่ยน
ทองบนเจดีย์ชเวดากองเมื่อสาดกับไฟช่างสวยงามจริงๆ ไม่มีใครทราบเป็นที่แน่ชัดครับว่ามีทองจริงๆอยู่บนชเวดากองมากมายเท่าไร ซึ่งทุกๆห้าปีเค้าจะมีพิธีแปะทองเพิ่มบนชเวดากอง ซึ่งถ้ามาได้ตรงโอกาส ก็อาจจะได้ทำบุญใหญ่ไปพร้อมๆกัน
ทางออก South Gate ครับ (ความจริงแล้วทางออกทั้งสี่ก็มีหน้าตาเหมือนๆกัน แยกไม่ออกเลยจริงๆ )หลังจากออกจากชเวดากองแล้วนั้น ผมก็ไปทานอาหารที่ร้าน Jana Mon ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมือง รสชาติคล้ายอาหารไทย เพื่อนแนะนำให้มาที่นี่ เนื่องจากมาคนเดียว เลยสั่งได้แค่ Beef Country Style กับข้าวอบกะทิ ต้องบอกเลยว่ารสชาติคล้ายๆอาหารไทย เหมือนกับเนื้อผัดพริกแกง แต่ข้าวอบมัน คือเลิศ คือดี ข้าวเรียงตัวเป็นเม็ด ได้กลิ่นหอมของกะทิอีกด้วย
กินข้าวกันเสร็จแล้ว ตกอยู่ที่ประมาณ 6500 จ๊าด โอเคแฮปปี้ อิ่มสบาย แล้วก็เลยเรียกแกร๊บกลับโรงแรมนอน

สรุปค่าใช้จ่ายประจำวัน

แท็กซี่เข้าเมือง : 10,000 จ๊าด
ซิมการ์ด Telenor 2GB โทรได้ 5 นาที : 5,000 จ๊าด
อาหารกลางวันร้าน Ma Ma Xing 5,600 จ๊าด
ค่าเข้าเจดีย์โบตาทาวน์ 5,600 จ๊าด
ค่าของบูชาเทพทันใจ (ผ้าสีและดอกไม้) 6,000 จ๊าด
พับเงินถวายเทพทันใจ 1,000 จ๊าด
ค่าเข้าเจดีย์ซูเลย์ 3,000 จ๊าด
ค่าฝากรองเท้าที่ซูเลย์ 1,000 จ๊าด
ทำบุญกับพระจากการโดนโน้มน้าว 6,000 จ๊าด
ค่าเข้าเจดีย์ชเวดากอง 8,000 จ๊าด
ค่าอาหารเย็นพร้อมน้ำมะนาว 6,500 จ๊าด


เลือกโรงแรมเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า

ผมเลือกพักที่ Best Western China Town สาเหตุที่เลือกที่นี่เนื่องจากว่ารู้สึกว่าต้องการพักผ่อนแบบสบายๆ เพราะถ้าไปประเทศที่ค่อนข้างลุยๆด้วยแล้วก็ขอพักที่สบายๆสักหน่อย รวมถึง Best Western เป็นโรงแรมที่มีหลายสาขาทั่วโลก น่าจะได้รับมาตรฐานแบบสากล อย่างไรก็ตาม โรงแรมนี้ดีกว่าที่ผมคิดไว้ เนื่องจากว่าผมเคยพัก Best Western ในประเทศอเมริกา มาตรฐานของที่นั่นจะกลางๆ แต่พอมาที่ย่างกุ้งนี้กลับเป็นโรงแรมที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว มีอุปกรณ์อาบน้ำแบบครบครัน เตียงนุ่มสบาย มีอาหารเช้าและ room service ให้บริการ

ผมเดินทางถึงเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่าเวลา 10.00 น. ของวันที่ 13 กันยายน ก่อนเดินทางออกจากดอนเมืองผมก็นั่งอ่านรีวิวพันทิปเพลินๆเกี่ยวกับย่างกุ้งและราคาค่าใช้จ่ายต่างๆ ตรงนี้ผมขอย้ำนะครับให้คุณอ่านและรีวิวมาก่อนถ้าหากคุณจะเที่ยวด้วยตัวเอง ไม่งั้นจะต้องช้ำอกช้ำใจอย่างแน่นอน

เมื่อผ่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ออกมารับกระเป๋า พร้อมแลกเงิน 100 ดอลลาร์ไว้ใช้สำหรับค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าเข้าวัดต่างๆ ซึ่งได้มาประมาณ 130,000 จ๊าด ด้วยโรคติดโซเชียลและที่สำคัญสมัยนี้ข้อมูลอะไรก็อยู่ในอินเตอร์เน็ต ผมก็เลยต้องหาซื้อซิมการ์ดเป็นอันดับแรก บริการซิมการ์ดในสนามบินเห็นว่ามีอยู่จุดเดียว โดยมีสามร้านตั้งติดกัน ผมเลือกใช้บริการของ Telenor โดยสนนราคารวมซิมการ์ดแล้วอยู่ที่ 5000 จ๊าด พนักงานก็เปลี่ยนซิมให้เรียบร้อย ระหว่างรอเปลี่ยนซิมก็มีแท็กซี่วนเวียนเข้ามาทักทายถามหาลูกค้าอยู่เรื่อยๆ ผมโดนแท็กซี่รุมอยู่หลายคน จนเดินออกมาจากซุ้มซิมการ์ดและยังไม่ได้จ่ายตัง พนักงานก็ทำหน้าเหวอรีบวิ่งมาตาม ตะโกนเสียงดัง “sir sir you need to pay for the service” 555 ตอนนั้นคืออายมาก เหมือนไปขโมยของเขายังไงก็ไม่รู้ ผมก็เลยต้องขอโทษขอโพยเค้าไป

เมื่อได้ซิมการ์ดพร้อมแล้ว ก็ต้องลุยหาแท็กซี่ไปโรงแรมในย่านไชน่าทาวน์ ผมได้อ่านรีวิวมาคร่าวๆว่าแท็กซี่เข้าเมือง ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 8000 จ๊าดขึ้นไป สามารถต่อรองได้ ผมเดินหาแท็กซี่อยู่สักพัก ราคาที่พวกเค้าเสนอเริ่มต้นที่ 10,000 จ๊าด บ้างก็ปาไปที่ 50,000 จ๊าด (เห้ย! นี่มันหวังรวย วันนี้ไม่ขับแล้วใช่ไม๊เนี่ย) ตอนนั้นก็รู้สึกได้เลยว่า ดีใจมากที่ได้อ่านรีวิวมาก่อน (ปกติไม่ค่อยอ่านรีวิว ไปตายเอาดาบหน้า) สุดท้ายผมก็เลยต้องพึ่ง Official Taxi Service ที่อยู่ทางด้านนอก เป็นซุ้มเป็นทางการที่คอยช่วยหาแท็กซี่ สนนราคาอยู่ที่ 10,000 จ๊าด ไปโรงแรม

เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า รถติดหนักและที่สำคัญแดดร้อนมากๆ ผมยิ่งเป็นคนไม่ชอบร้อนๆอยู่แล้ว เหงื่อก็ไหล รู้สึกไม่สบายตัวอย่างแรง เราใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหน่อยๆก็ถึงโรงแรม Best Western China Town
พนักงานออกมาต้อนรับอย่างดี เริ่มต้นด้วยน้ำส้ม เย็นชื่นใจ เช็กอินเรียบร้อยแล้ว ผมก็พักผ่อนสักพักก่อนเริ่มต้นทริปนี้อย่างจริงจัง

คุณ
คุณ
เจ้าของเพจเที่ยวตามใจคุณนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน หวังว่าบทความท่องเที่ยวที่เขียนขึ้นมาจะเป็นประโยชน์นะครับ แล้วมาคุยกันนะครับ

บทความน่าสนใจ