fbpx
Homeเที่ยวอเมริกาNew York7 ที่เที่ยวนิวยอร์ค...โอ้โหนี่หรือนิวหยวก มหานครในฝันของหลาย ๆ คน

7 ที่เที่ยวนิวยอร์ค…โอ้โหนี่หรือนิวหยวก มหานครในฝันของหลาย ๆ คน

Klook.com
- Advertisement -
- Advertisement -

New York(นิวยอร์ค/นิวยอร์ก) คงเป็นเมืองในฝันของใครหลายๆคน รวมถึงเป็นเมืองในฝันของผมและเพื่อนด้วย
เราอยากจะไปเที่ยวนิวยอร์คมากมาก แต่มันเป็นเมืองที่ค่าครองชีพสูงจริงๆ ตั๋วเครื่องบิน โรงแรมแพงมากๆ มันเลยกลายเป็นเมืองสุดท้ายที่เรามาเหยียบก่อนที่จะออกจากอเมริกา

***สำหรับบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของเราเพียงคนเดียว โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่านด้วยนะจ๊ะ***

การมาเที่ยวนิวยอร์คในครั้งนี้ เราเน้นประหยัด คือเราได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก บินจาก Chicago มา 49$ เอง ส่วนห้องพักก็พักเป็นโรงแรมใกล้ Airport หนึ่งคืน และ Airbnb อีกสองคืน

วันแรกก็เริ่มขึ้นอย่างทุลักทุเล เราลงจากเครื่องถึงสนามบิน LaGuardia  เวลา 22.00 น. มันดึกแล้ว เราก็ได้ทำการจองโรงแรมใกล้สนามบินเอาไว้ แต่พอมาถึงสนามบินเท่านั้นแหละ “OMG ผมจองโรงแรมผิดสนามบิน โรงแรมมันอยู่ที่ JFK Airport”  ตอนนั้นรู้สึกถึงความซวยที่จะมาเยือน เพราะจะต้องจ่ายค่าเดินทางเพิ่มขึ้นอีก อุส่าห์จะประหยัดแล้วเชียว

ในเมื่อเราจองโรงแรมผิดสนามบิน ก็ต้องยอมนั่งรถแท็กซี่ไปที่โรงแรมนั้น โดยเสียค่าเดินทางเพิ่มไปอีก  60$ (หารกันสองคน) เราจองเป็น Super 8 Jamaica North Conduit  ถ้าใครกำลังจะเดินทางมาที่สนามบินนี้ โรงแรมนี้ก็ไม่เลว ถ้าเทียบกับเงินที่จ่ายไป พร้อมมีอาหารเช้าให้ด้วยนะ พอถึงโรงแรมพวกเราก็รีบหาข้าวกิน เนื่องจากเดินทางไกล ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย มื้อนี้ก็ได้เจ้ามาม่าจาก 7-11 ใกล้ๆช่วยเอาไว้



อิ่มท้องแล้ว พรุ่งนี้ก็พร้อมลุยกันต่อ 
เรารีบตื่นเช้าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะเราจะอยู่ที่ New York แค่สองวันเท่านั้น เรานั่งแท็กซี่ไปที่พักซึ่งเป็นบ้านพัก Airbnb ในเขต Brooklyn เราจองที่นี่เพราะเราถามจากเพื่อนว่าเขตนี้โอเคไหม เพื่อนก็แนะนำว่า Brooklyn  โอเค ไม่มีปัญหา แต่พอถึงเท่านั้นแหละ ความรู้สึกลบกับเมืองนี้ก็เกิดขึ้นมาเต็มไปหมด ทั้งความสกปรก ความวุ่นวาย ขยะเต็มท้องถนน น้ำคลำ เหม็นฉี่อีก ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากจะออกไปจากเมืองนี้ นี่มันแย่มากๆ แต่เราก็คุยกับเพื่อนว่าในเมืองมันต้องดีกว่านี้สินะ



การเดินทางไป Manhattan เรายังไม่ได้ซื้อตั๋ว 7 days pass เราจึงต้องใช้เงินสด แต่ความซวยก็บังเกิดเนื่องจากรถบัสไม่รับแบงค์ รับแต่เหรียญเท่านั้น เราก็เลยต้องรีบลงจากรถ ไปขอแลกเหรียญจากร้านค้าใกล้ๆป้ายรถ ซึ่งราคาตกอยู่ที่คนละ 2.60$ เราเลยต้องยืนรอรถบัสคันต่อไปเมื่อเราเดินทางถึงดาวทาวน์ Brooklyn แล้ว เราก็เดินไป Landmark สำคัญนั่นก็คือ Brooklyn Bridge ช่วงเวลาที่เราไปถึงก็ประมาณ 11 โมง แดดเปรี้ยงๆ เดินขึ้นไปบนสะพานเพื่อนข้ามไปยังฝั่ง Manhattan ใช้เวลารวมถ่ายรูปก็ประมาณ 1 ชั่วโมง
เวลานี้คนค่อนข้างเยอะ ต้องระวังคนที่ขี่จักรยานด้วย อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้

 1. สะพานบรุกลิน/Brooklyn Bridge


Brooklyn Bridge เป็นสะพานที่เก่าแก่ ถูกใช้งานตั้งแต่ปี 1883 ผู้คนสามารถเดินทางระหว่าง Manhattan กับ Brooklyn ได้ง่ายขึ้น  ตัวตึกสร้างจากแกรนิต ขึงด้วยเหล็ก นี่จึงเป็นสะพานที่มีเอกลักษณ์อันหนึ่งของโลก

หลังจากที่เราเดินเหงื่อแตกกันจนมาถึงฝั่ง Manhattan แล้ว เราเดินทางไปกันต่อที่ Grand Central Station ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนน 42nd กับ Park Avenue St.

เรากับเพื่อนตัดสินใจซื้อตั๋ว 7 Days pass ราคา 31$ ซึ่งเราคิดว่าน่าจะคุ้มกว่าการจ่ายเป็นรอบ

2. สถานีรถ Grand Central Station

บรรยากาศที่ Grand Central Station คือมีทั้งนักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปเล่น และคนที่เดินทางหาซื้อตั๋วรถไปยังเมืองต่างๆ มันให้ความรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา



เราใช้เวลากันอยู่ที่นี่ประมาณ 30 นาที ก็เลยไปหาข้าวกินที่ร้าน Zab Elee ซึ่งเป็นร้านอาหารไทย เพื่อนแนะนำว่าอาหารอีสานที่นี่อร่อย ซึ่งเราให้ 8.5/10 เลยละกัน เราว่า อาหารเค้ารสชาติโอเคและบริการก็ดีเยี่ยม

3. ไทม์สแควร์/Time Square แสงสีแห่งเมืองนิวยอร์ก

เมื่อทานอาหารเสร็จ พวกเราก็ไปต่อกันที่ไทม์แสควร์ (Time Square) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านอาหารนัก เราเดินเล่นรอบๆ Time Square ดูแสงสีอยู่สักพักก็รู้สึกว่ามันยังไม่สวย เราเลยไปเดินช็อปปิ้งตามร้านค้ารอบๆ ซึ่งมีหลากหลายเช่น H&M, Forever21, Hershey, M&M, Express และอีกมายมาย จุด Highlight ที่คนมักเดินมาถ่ายรูปคือบันไดแดงของ TKTS ซึ่งเป็นที่ขายตั๋วโชว์ลดราคาต่างๆ




วันแรกที่เราไปอากาศดี คนนั่งบันไดเต็มเลย ส่วนวันต่อมาเค้าปิดบันได้นะจ๊ะเนื่องจากฝนตก ถ้าอยากจะมาบันไดแดงต้องหาวันที่อากาศดีๆด้วยหละเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน แสงสีของนิวยอร์คก็เริ่มเฉิดฉาย New York เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ความมืดปกคุมความสกปรกของเมือง ผู้คนมีชีวิตชีวามากขึ้น ไม่ได้มุ่งแต่รีบๆเดินไปทำงาน เราเริ่มรู้สึกโอเคกับเมืองนี้ขึ้นมานิดนึง เราเริ่มจะมโนได้หน่อยละว่านี่คือนิวยอร์คในฝัน
มันคล้ายๆภาพในหนังที่เคยเห็น นี่แหละที่อยากจะเห็นมัน

4. ขึ้นเรือเที่ยว Liberty Island เพื่อไปเจอกับเทพีเสรีภาพ

วันที่สองก็เริ่มขึ้น แพลนของวันนี้เราจะไป Financial District, Liberty Island เพื่อไปเจอเทพีเสรีภาพ และขึ้นตึก Top of the Rock ที่ Rockefeller Center

วันนี้เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งระหว่างทาง เราก็คิดไปถึงคำพูดของเพื่อน
ก่อนมานิวยอร์คเราถามเพื่อนฝรั่งหลายๆคนที่เคยมา ทุกๆคนต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนเมืองนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นคน “Obnoxious” คือน่ารังเกียจ แต่นี่คงเป็นเพียง Stereotype ของคนในรัฐอื่นๆ พอเราได้มาเจอจริงๆ เราคิดว่ามันก็อาจจะจริงอย่างที่เค้าพูด

1. ในรถไฟฟ้า ทั้งๆที่มีป้ายติดว่าห้ามกินอาหาร แต่คนก็กินดันกิ้น โดนัทกันเป็นปกติ แถมยังทำน้ำหกเต็มพื้นรถไฟฟ้า จนทุกคนต้องยืนบนน้ำ ไม่มีท่าที่ว่าเจ้าหน้าที่จะเข้ามาทำความสะอาดแต่อย่างใด
2. ส่วนตัว เรากำลังใช้ Google Map ยืนหาทางบนสถานี ทั้งๆที่ตอนนั้นไม่มีคน ทางข้างๆเหลือตั้งเยอะ แต่กลับมีคนวิ่งชนเราถึงสองคน และท่าทางไม่รู้สึกผิดใดๆ

นี่คือบริเวณ Financial District เราว่าที่นี่ ค่อนข้างโอเคเลยหละ ตึกเรียงรายสวยงาม เป็นระเบียบ สะอาด



เมื่อถึงปลายทาง เรารีบไปดู The Charging Bull ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ Financial District เรามาถึงประมาณ 8 โมงเช้า คิดว่าคงยังไม่มีคนหรอก แต่ที่ไหนทัวร์จีน ทัวร์ยุโรป เต็มไปหมด น้องวัวถูกทารุณกรรมทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถูกขัดไข่จนวาววับ

หลังจากถ่ายรูปกับเจ้ากะทิงอยู่แพรพนึง พวกเราก็ไปเช็คอินที่ Battery Park เตรียมขึ้นเรือไป Liberty Island (ตรงนี้อย่าสับสนนะจ๊ะ เพราะมันจะมีอีกที่นึงชื่อว่า Battery City Park ซึ่งอยู่ใกล้ๆกัน เดี๋ยวจะอดไปดูป้าเขียวเอา)
การจองตั๋วออนไลน์และปริ้นท์มาสะดวกมาก เพราะไม่ต้องไปต่อแถวยาวซื้อตั๋ว
เตรียมตัวสัมภาระแล้วก็ขึ้นก็เป็นที่เรียบร้อยอากาศวันนั้นค่อนข้างมืดคลึ้มไม่ดีแดด แต่ไม่หนาวจนเกินไป ก็ทำให้นั่งเรือ เดินชมรอบๆเกาะได้ชิลๆ


เมื่อถึงเกาะแล้ว อย่าลืมไปเอาหูฟัง เพื่อเดินฟังประวัติความเป็นมาของแต่ละจุดกันด้วยนะจ๊ะ




5. ไชน่าทาวน์

หลังจากเดินเล่นถ่ายรูปอยู่บนเกาะสักพัก เราก็รู้สึกหิว เลยไม่ได้ไปต่อที่ Ellis Island ซึ่งเป็นเกาะที่คนอพยพจะต้องมาอยู่ตอนเดินทางเข้าอเมริกา
เราไปหาข้าวกินกันที่ China Town ด้วยความที่ไม่ได้หาข้อมูลมามากนัก พอไปถึง China Town ก็หาร้านอาหารไม่เจอเลย อยากจะกินชาบู แต่สุดท้ายต้องมานั่งกินติ่มซำ แชร์โต๊ะร่วมกับพี่จีนในส่วนของ China Town ก็คล้ายๆตลาดสดบ้านเรา ขายอาหาร ขายผลไม้ มีร้านขายยา ค่าขนมเต็มไปหมด แต่สภาพก็พอทนไหว ชินกับตลาดสดบ้านเราแล้วหละ ความน้ำคลำก็มาในบางพื้นที่


ถ้าใครมีโอกาส ก็ลองแวะไปที่วัด Mahayana Temple ซึ่งเราก็เข้าไปเดินเล่นสักพัก ได้เสียงโชคมาด้วยหละ


ดวงของเราจะต้องเลิสรุ่งเรื่องมากในปีนี้ สำหรับใครที่ชอบดูดวง ที่นี่ก็เล่นเอาฮาได้เหมือนกัน
ของคาวเสร็จ ก็ต้องตามด้วยของหวาน เราชอบกินไอศครีมมาก ทริปนี้ เรามีโอกาสกิน Godiva ถึงสองครั้ง แต่ไม่เกิดความประทับใจ
เลยลองไอศครีมรถเข็นแถวๆ Top of The Rock เราพูดได้เต็มปากว่า มันใช่ หวาน มัน เข้มข้น สุดๆ วาฟฟเฟิลกรอบ ไม่แข็งปาหัวหมาแตกเหมือนบางเจ้า ถ้าใครมาเมืองนี้ ต้องอย่าพลาดโดดเด็ดขาด ราคาอาจจะเท่าๆหรือแพงกว่า Godiva แต่คุณภาพคับจอจริงๆ

6. ย้อนรำลึกเหตุการณ์ 9.11 ที่ไม่มีใครอยากจดจำ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 เดือนกันยา ปี 2001 มันก็ผ่านมา 15 ปีแล้ว รู้สึกเหมือนพึ่งเกิดเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมัน
เป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง และที่ที่เรากำลังยืนอยู่นี้เป็นสถานที่เกิดเหตุ ปัจจุบันได้กลายเป็นบ่อน้ำสองบ่อที่ใช้เป็นที่จดจำเหตุการณ์ในวันนั้น โดยรอบบ่อน้ำมีชื่อผู้เสียชีวิตสลักไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้เสียชีวิต



7. Top of The Rock ที่ตึก Rockefeller

และในส่วนของทริปนิวยอร์ค จะจบลงไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ขึ้น Top of The Rock ซึ่งอยู่ที่ตึก Rockerfeller ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่จะได้เห็นทั้ง Empire State และ Central Park ตอนที่เราขึ้นไปเป็นช่วงเย็น คนนับร้อยนั่งรอ นอนรอพระอาทิตย์ตกดิน ทั้งๆที่ฝนตก แต่ทุกคนก็ไม่ยอมแพ้ที่จะเก็บภาพสวยๆของเมืองนิวยอร์ค


และเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน แสงสีของเมืองก็เปล่งประกายวาววับ


และนี่คือบทสรุปทริป New York ของเรา เนื้อหาทั้งหมดเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
เราคิดว่านิวยอร์คไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวที่จะทำให้บันเทิงใจมากนัก แต่ถ้าเน้นมาช็อปปิ้ง เดินรับแสงสีแบบฉาบฉวยเมืองนี้ก็ทำให้คุณได้มโนอย่างเต็มที่ ที่พักอาจมีส่วนที่ทำให้ความสนุกของทริปมากขึ้นหรือลดลง รวมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ แต่ละคนอาจจะพบเจอไม่เหมือนกัน ล้วนแล้วเป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคลจริงๆ ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าเรามีโอกาสได้มาเหยียบเมืองนี้อีกครั้ง ความรู้สึกของเราก็อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ถ้ามีโอกาส อยากให้ทุกคนมาเยือน New York City ด้วยตนเอง แล้วค่อยตัดสินใจว่าชอบหรือไม่
คุณ
คุณ
เจ้าของเพจเที่ยวตามใจคุณนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคน หวังว่าบทความท่องเที่ยวที่เขียนขึ้นมาจะเป็นประโยชน์นะครับ แล้วมาคุยกันนะครับ

บทความน่าสนใจ